การต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์เป็นศิลปะที่ช่วยให้คุณสร้างเสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้
การเลือกชนิดของเอฟเฟคและลำดับการต่อพ่วงนั้นมีผลต่อเสียงที่ออกมาอย่างมาก
ในส่วนนี้..เราจะมาเจาะลึกถึงเทคนิคและหลักการในการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์
เพื่อให้คุณสามารถสร้างเสียงที่ตรงใจได้มากที่สุด
โดยในบทความนี้เราจะขอเริ่มต้นที่ Basic ก่อน
แต่หลายคนอาจบอกว่า “ไม่มีกฎเกณฑ์” นิ ในการเรียงลำดับของเอฟเฟคก้อน
ใช่ครับ มันไม่มีหรอกกฎเกณฑ์ นั้น เพราะ สุดท้ายมันก็ขึ้นกับความชอบของแต่ละคน
มันจะดีกว่าไหม ถ้าการทำความเข้าใจพื้นฐานของวิธีจัดเรียง จะทำให้เราดึงประโยชน์สูงสุดจากบอร์ดเหยียบ
ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานกับแอมป์ของคุณ และโทนเสียงโดยรวมของคุณที่ออกมา
และเมื่อคุณเชี่ยวชาญกฎเหล่านั้นแล้ว คุณก็จะสามารถเรียนรู้วิธีทำลายกฎเหล่านั้นได้!
บ่นมาเยอะแล้วเรามาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า
เอฟเฟค 5 ประเภทที่ควรรู้
1.เอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamics/pitch หรือ พวก Filters & Compressors
เอฟเฟคประเภทนี้จะเป็นการบีบอัดสัญญาณ จัดบาลานซ์ของเสียงกีต้าร์
เน้นไปที่การปรับเปลี่ยนไดนามิก (Dynamics) หรือความดังเบาของเสียง และการปรับเปลี่ยนพิทช์ (Pitch) หรือระดับเสียงสูงต่ำของโน้ต นั่นเอง
เอฟเฟคที่อยู่ในประเภทนี้เช่น Compressor , Clean Boost , Wah Wah , Pitch Shifter , Whammy เป็นต้น
2.เอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion & EQ – เพื่อปรับแต่งเสียงกีตาร์ให้โดดเด่น
เอฟเฟคประเภทนี้เป็นเอฟเฟคที่กระทำบางอย่างกับเนื้อเสียงของกีต้าร์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเสียงที่แตกต่างหลากหลาย หรือการเน้นย้ำคาแรคเตอร์เฉพาะตัวของดนตรีที่เล่น
เอฟเฟคที่คุณถามถึงอย่าง Produce Tone, Distortion และ EQ ล้วนเป็นเอฟเฟคที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตดนตรี
โดยเอฟเฟคที่เราคุ้นเคยกันดีก็จะเป็นเอฟเฟค Overdrive , Distortion , Fuzz , EQ เป็นต้น
3.เอฟเฟค Modulation (Mod): สร้างมิติให้เสียงกีตาร์
เอฟเฟค Modulation หรือ เอฟเฟคมอดูเลชั่น เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยสร้างความหลากหลายให้กับเสียงกีตาร์
ทำให้ได้เสียงที่มีมิติและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เอฟเฟคประเภทนี้จะช่วยให้เสียงกีตาร์ของคุณฟังดูมีชีวิตชีวาและไม่น่าเบื่อ เอฟเฟคประเภทนี้ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น Chorus , Flanger , Phaser , Vibrato
4.เอฟเฟค Time-Based: สร้างมิติให้เสียงกีตาร์ด้วยการเล่นซ้ำ
เอฟเฟค Time-Based หรือ เอฟเฟคตามเวลา เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ทำงานโดยการบันทึกสัญญาณเสียงชั่วคราว แล้วนำมาเล่นซ้ำออกมาในภายหลัง ทำให้เกิดเสียงสะท้อนหรือเสียงซ้ำตามที่เราตั้งค่าไว้
เอฟเฟคประเภทนี้ที่เรารู้จักกันดีก็จะเป็น Analog Delay , Digital Delay
5.เอฟเฟค Ambience: สร้างบรรยากาศให้เสียงกีตาร์ของคุณ
เอฟเฟค Ambience หรือ เอฟเฟคบรรยากาศ เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับเสียงกีตาร์ของคุณ
เหมือนกับการนำกีตาร์ของคุณไปเล่นในสถานที่ต่างๆ เช่น ห้องโถงขนาดใหญ่ หุบเขา หรือห้องน้ำ ทำให้เสียงกีตาร์ฟังดูมีมิติและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เอฟเฟคประเภทนี้ก็เช่น Reverb , Echo Reverb
ทั้งหมดคือประเภทของเอฟเฟคที่เราอยากจะให้มือใหม่ได้รู้จักกันก่อน ตอนไปจะเข้าเรื่องการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์ไฟฟ้ากัน โดยขอเริ่มต้นตั้งแต่ ตัวกีต้าร์ไฟฟ้า ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงแอมป์
โดย concept ในการต่อ จะเป็น
กีต้าร์ >>Tuner>>Filters & Compressors>>Distortion & EQ>>Mod>>Time-Based>>Ambience>>แอมป์กีต้าร์
ว่าแต่ Tuner คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?
ทำไมต้องต่อกีต้าร์เข้ากับ Tuner ก่อนถึงจะไปต่อกับเอฟเฟคกีต้าร์?
คำตอบสั้นๆ: เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงที่เข้าไปในเอฟเฟคต่างๆ นั้นถูกต้องและแม่นยำที่สุดครับ
การต่อ Tuner ก่อนต่อเอฟเฟคอื่นๆ เปรียบเสมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเสียงกีตาร์ของคุณครับ ทำให้คุณได้เสียงที่ถูกต้องและมีคุณภาพสูงสุด
ถ้าให้ตอบยาวๆ แบบมีหลักการ เพราะ Tuner หรือเครื่องตั้งสาย จะช่วยให้เราตรวจสอบและปรับแต่งเสียงของสายกีตาร์ให้มีความถี่ที่ถูกต้องตามมาตรฐานดนตรี นี่คือเหตุผลหลักๆ ครับ:
เสียงที่ถูกต้อง: เมื่อสายกีตาร์ถูกตั้งให้ตรงเสียงแล้ว เสียงที่ออกมาจากกีตาร์จะบริสุทธิ์และไพเราะมากขึ้น การใช้เอฟเฟคต่างๆ ต่อไปจะทำให้ได้เสียงที่น่าสนใจและมีมิติมากขึ้น
ป้องกันปัญหาเสียงเพี้ยน: ถ้าสายกีตาร์เพี้ยน แม้จะใส่เอฟเฟคดีแค่ไหน เสียงที่ได้ก็จะไม่เพราะและฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ
ปรับแต่งเสียงได้แม่นยำ: การตั้งสายให้ตรงจะทำให้การปรับแต่งเสียงด้วยเอฟเฟคต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดายและแม่นยำมากขึ้น
ลดปัญหาเสียงรบกวน: ในบางกรณี สายกีตาร์ที่เพี้ยนอาจทำให้เกิดเสียงรบกวนหรือเสียงหอนเมื่อต่อเข้ากับเอฟเฟคได้
นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องต่อ Tuner ก่อน
บางครั้งสิ่งเล็กๆน้อยๆ แบบนี้ที่มือใหม่พลาด จนทำทำให้แอบสงสัยว่าทำไมเสียงที่ได้มันไม่เหมือนเสียงที่เราชอบ
สำหรับ Tuner ที่ได้รับความนิยมก็จะมี 2 รุ่นนี้ครับ
เอฟเฟค Boss TU-3
จุดเด่น: ทนทาน แม่นยำ มีโหมด Strobe Tune
เหมาะสำหรับ: มืออาชีพ ผู้ที่ต้องการความแม่นยำสูง
สำหรับผู้ที่สนใจ BOSS TU-3 ตัวนี้ ก็สั่งซื้อ และ รับ Promotion ได้ที่ Link นี้เลยครับ
อีกตัวที่น่าสนใจ ก็จะเป็น TC Electronic Polytune 3
จุดเด่น: ตั้งสายได้พร้อมกัน 3 สาย ฟังก์ชั่นหลากหลาย
เหมาะสำหรับ: มืออาชีพ ผู้ที่ต้องการฟังก์ชั่นพิเศษ
สำหรับผู้ที่สนใจ TC Electronic Polytune 3 ตัวนี้ ก็สั่งซื้อ และ รับ Promotion ได้ที่ Link นี้เลยครับ
ใครอยากดู รีวิว ตัวนี้ก็กดไปที่ Youtube นี้ได้เลยครับ
เมื่อเราต่อ Tuner แล้วต่อไปก็เป็นคิวของ
ชุดเอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamics/pitch หรือ พวก Filters & Compressors
ในชุดนี้เราจะเรียง ลำดับตามนี้ครับ
Wah Wah >> Compressor >> Octave>> Pitch Shifters
ทำไมต้องเรียงแบบนี้?
คำถามที่น่าสนใจมากครับ แต่อย่างที่บอกครับ การเรียงลำดับเอฟเฟกต์ที่คุณกล่าวถึงเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่นิยมใช้กัน
ซึ่งวิธีนี้เป็นหนึ่งใน Basic เพื่อ ให้ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติและควบคุมได้ง่ายขึ้น
หรือ ถ้าจะเอาให้ละเอียดขึ้น
Wah Wah: เอฟเฟกต์ Wah Wah มักจะถูกวางไว้ต้นๆ ของ Chain เนื่องจากเป็นเอฟเฟกต์ที่เราต้องการควบคุมด้วยเท้า และเราต้องการให้เอฟเฟกต์อื่นๆ ที่ตามมาส่งผลต่อเสียงที่ผ่านการปรับแต่งด้วย Wah Wah แล้ว
Compressor: หลังจาก Wah Wah เราจะนำ Compressor มาบีบอัดสัญญาณเสียงที่ผ่านการปรับแต่งด้วย Wah Wah เพื่อให้ได้ระดับเสียงที่สม่ำเสมอและควบคุมได้ง่ายขึ้น
Octave: เอฟเฟกต์ Octave จะทำหน้าที่สร้างเสียงโอเวอร์โทน ซึ่งควรจะถูกประมวลผลหลังจากที่เสียงได้รับการปรับแต่งด้วย Compressor แล้ว เพื่อให้เสียง Octave มีความนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
Pitch Shifters: เอฟเฟกต์ Pitch Shifters จะทำการปรับระดับเสียงของโน้ต ซึ่งควรจะถูกประมวลผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนส่งสัญญาณไปยังแอมป์ เพื่อให้ได้เสียงที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติที่สุด
ถ้าจะยกตัวอย่างการต่อของชุดนี้ เช่น
Wah Wah รุ่นที่นิยม Jim Dunlop GCB95F Cry Baby Classic
V
V
Compressor ของ Boss รุ่น CP1X
V
V
Octave ของ Boss รุ่น OC-5 Octave
V
V
Pitch Shifters ของ Boss รุ่น PS-6
เราไปต่อที่ส่วนต่อไปครับ จะเป็นส่วนของ
ชุดเอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion & EQ
โดยเราจะเรียง ดังนี้ Overdrive >> Distortion
เหตุผลที่นิยมต่อ Overdrive ก่อน Distortion
สร้างเลเยอร์ของเสียงแตก:
Overdrive: มักจะให้เสียงแตกที่อุ่น นุ่มนวล และเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่สร้างพื้นฐานของเสียงแตก
Distortion: จะเพิ่มความแหลม ความคม และความดิบให้กับเสียง ทำหน้าที่เสริมความเข้มข้นให้กับเสียงที่ได้จาก Overdrive
การต่อแบบนี้จะทำให้ได้เสียงแตกที่มีมิติ มีทั้งความนุ่มนวลและความดิบปนกันไป ทำให้สามารถปรับแต่งเสียงได้หลากหลายมากขึ้น
ควบคุมระดับเสียงแตก:
Overdrive จะช่วยให้คุณควบคุมระดับเสียงแตกเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะส่งสัญญาณไปยัง Distortion เพื่อเพิ่มความเข้มข้นอีกชั้นหนึ่ง
ทำให้คุณสามารถปรับแต่งระดับเสียงแตกได้อย่างละเอียดมากขึ้น
สร้างความแตกต่างของโทนเสียง:แต่ละเอฟเฟกต์จะมีลักษณะเสียงที่แตกต่างกัน การต่อซ้อนกันจะช่วยสร้างโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร
ขอยกตัวอย่าง เป็น Boss DS-1 >> Boss SD-1 >> Boss MT-2W ในกรณีนี้
Boss DS-1: ให้เสียงแตกที่คมชัด มีความดิบ เหมาะสำหรับเพลงแนว Punk หรือ Hard Rock
Boss SD-1: ให้เสียงแตกที่อุ่น นุ่มนวล เหมาะสำหรับเพลงแนว Blues หรือ Rock Classic
Boss MT-2W: ให้เสียงแตกที่หนักหน่วง มีความ Modern เหมาะสำหรับเพลงแนว Metal
การต่อแบบนี้จะให้เสียง
มีมิติ: ได้ทั้งความนุ่มนวลของ SD-1 ความคมชัดของ DS-1 และความหนักหน่วงของ MT-2W
ปรับแต่งได้หลากหลาย: สามารถปรับแต่งระดับเสียงแตกของแต่ละเอฟเฟกต์ได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ต้องการ
เหมาะสำหรับเพลงแนวหนัก: เหมาะสำหรับเพลงแนว Metal หรือ Hard Rock ที่ต้องการเสียงแตกที่หนักหน่วง
ชุดต่อไปเป็น เอฟเฟค Modulation (Mod)
ชุดนี้เราจะเรียง แบบนี้ : CHORUS >> PHASER >> FLANGER
การรวมเอฟเฟกต์ทั้งสามเข้าด้วยกันจะทำให้ได้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร และยังเสริมสร้างเอฟเฟกต์แต่ละตัว:
CHORUS: เมื่อผ่าน CHORUS ไปแล้ว เสียงที่เข้าไปใน PHASER จะมีความกว้างและมีมิติมากขึ้น ทำให้เสียง PHASER มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
PHASER: หลังจากผ่าน PHASER เสียงที่เข้าไปใน FLANGER จะมีความแปลกใหม่และมีมิติมากขึ้น ทำให้เสียง FLANGER มีความซับซ้อนมากขึ้น
ขอยกตัวอย่าง เป็น BOSS CH-1 >> Boss PH-3 >> BOSS BF-3 เสียงที่:
มีมิติ: เสียงกีตาร์จะมีความกว้าง มีความลึก และมีความเคลื่อนไหว
มีความแปลกใหม่: เสียงที่ได้จะไม่เหมือนเสียงกีตาร์ทั่วไป
เหมาะสำหรับเพลงแนว Psychedelic หรือ Space Rock: เสียงที่ได้จะเข้ากับแนวเพลงที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและแฟนตาซี
ชุดต่อไปที่จะนำมาต่อ คือ เอฟเฟค Time-Based — LOOPER,Delay
อันนี้เราจะต่อ LOOPER ตามด้วย DELAY และ ขอปิดด้วย Modulation
เช่น BOSS RC-1 >> BOSS DD-3T >> BOSS MD-200
การเรียงแบบนี้ จะช่วยสร้างเสียงที่ซับซ้อน มีมิติ และน่าสนใจยิ่งขึ้น
เหตุผลที่ควรเรียงลำดับแบบนี้:
สร้างพื้นฐานที่แข็งแรง: Looper จะทำหน้าที่สร้างลูปดนตรีเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะกลายเป็นแกนหลักของเสียงดนตรีของคุณ
เพิ่มความลึกให้กับเสียง: Delay จะช่วยสร้างความลึกและความกว้างให้กับเสียงที่ได้จาก Looper ทำให้เสียงมีมิติมากขึ้น
สร้างความเคลื่อนไหวและความแปลกใหม่: เอฟเฟกต์ Modulation จะช่วยเพิ่มความเคลื่อนไหวและความแปลกใหม่ให้กับเสียงที่ผ่าน Delay มาแล้ว ทำให้เสียงมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
เสียงที่ได้จากการเรียงลำดับแบบนี้:
ลูปกีตาร์: คุณสร้างลูปกีตาร์เบสไลน์ง่ายๆ ด้วย RC-1
เพิ่มความลึก: ใช้ DD-3T สร้างเสียง Delay ที่ซ้ำๆ เพื่อเพิ่มความลึกให้กับลูป
เพิ่มความเคลื่อนไหว: ใช้ MD-200 สร้างเอฟเฟกต์ Chorus เพื่อให้เสียงลูปกีตาร์มีมิติและเคลื่อนไหวมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้: คุณจะได้เสียงลูปกีตาร์ที่ซับซ้อน มีความลึก และมีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับเพลงแนว Ambient, Shoegaze หรือเพลงที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่กว้างใหญ่
ชุดสุดท้าย จะเป็น เอฟเฟค Ambience – องค์ประกอบสุดท้ายของเสียงในโลกแห่งความเป็นจริง
ใน case นี้เราจะนำ BOSS RV-6 มาต่อ กับ BOSS RV-500
หลายคนบอกว่า การนำเอฟเฟคทั้งสองตัวนี้มาต่อกัน
มันซ้ำซ้อนหรือไม่
ใช่ครับ อาจดูเหมือนซ้ำซ้อน แต่จริงๆ แล้ว การทำเช่นนี้สามารถสร้างมิติและความซับซ้อนให้กับเสียงได้อย่างน่าสนใจ
เหตุผลที่น่าสนใจในการต่อ RV-6 และ RV-500 พร้อมกัน:
สร้างความลึกและกว้างให้กับเสียง: การใช้ Reverb สองตัวพร้อมกันจะช่วยสร้างความลึกและความกว้างให้กับเสียงได้มากกว่าการใช้ตัวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับค่า Pre-delay, Decay และ Size ให้แตกต่างกัน
สร้างเอฟเฟกต์ที่ซับซ้อน: การผสมผสาน Reverb ที่มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น Reverb แบบห้องเล็กและห้องใหญ่ จะช่วยสร้างเอฟเฟกต์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ
สร้างบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจง: การเลือกใช้ Reverb ที่เหมาะสมกับแนวเพลงและสไตล์การเล่น จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจงได้ เช่น บรรยากาศแบบห้องคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ หรือบรรยากาศแบบโบสถ์เก่า
สร้างเอฟเฟกต์ที่ไม่ซ้ำใคร: การทดลองปรับค่าต่างๆ ของทั้งสองตัว จะช่วยให้คุณสร้างเอฟเฟกต์ Reverb ที่ไม่เหมือนใครและเป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง
มาถึงจุดนี้เราก็นำสายไปต่อเข้ากับ แอมป์กีต้าร์ ได้แล้วครับ
สุดท้ายนี้ ขอสรุปเรื่องการต่อ แอฟเฟคไว้ง่ายๆ ว่า
RULES ARE MEANT TO BE BROKEN กฏมีไว้ให้แหก
ทำไมยังงั้นหละ!!!
เพราะตอนนี้คุณรู้กฏพื้นฐาน แล้วว่าทำไมเอฟเฟกต์บางอย่างจึงควรอยู่ก่อนหรือหลังเอฟเฟกต์อื่น
จลใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อหาวิธีการต่อของคุณเอง
บางทีคุณอาจพบว่า บางอย่างมันไม่เหมาะกับคุณเลย
ดังนั้น จงออกไปสนุกกับการเล่นกีต้าร์กันเถอะ