MyGuitarShops.com
: 1.2.3…เทคนิคและวิธีต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ในเพลงของคุณ สู่เสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

1.2.3…เทคนิคและวิธีต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ในเพลงของคุณ สู่เสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์

เทคนิคและหลักการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์ เอฟเฟคก้อน 1

การต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์เป็นศิลปะที่ช่วยให้คุณสร้างเสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้
การเลือกชนิดของเอฟเฟคและลำดับการต่อพ่วงนั้นมีผลต่อเสียงที่ออกมาอย่างมาก

ในส่วนนี้..เราจะมาเจาะลึกถึงเทคนิคและหลักการในการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์
เพื่อให้คุณสามารถสร้างเสียงที่ตรงใจได้มากที่สุด

โดยในบทความนี้เราจะขอเริ่มต้นที่ Basic ก่อน

เทคนิคและหลักการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์ เอฟเฟคก้อน 2

แต่หลายคนอาจบอกว่า “ไม่มีกฎเกณฑ์” นิ ในการเรียงลำดับของเอฟเฟคก้อน

ใช่ครับ มันไม่มีหรอกกฎเกณฑ์ นั้น เพราะ สุดท้ายมันก็ขึ้นกับความชอบของแต่ละคน

มันจะดีกว่าไหม ถ้าการทำความเข้าใจพื้นฐานของวิธีจัดเรียง จะทำให้เราดึงประโยชน์สูงสุดจากบอร์ดเหยียบ
ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานกับแอมป์ของคุณ และโทนเสียงโดยรวมของคุณที่ออกมา

และเมื่อคุณเชี่ยวชาญกฎเหล่านั้นแล้ว คุณก็จะสามารถเรียนรู้วิธีทำลายกฎเหล่านั้นได้!

บ่นมาเยอะแล้วเรามาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า

เอฟเฟค 5 ประเภทที่ควรรู้

เอฟเฟค 5 ประเภทที่ควรรู้จัก

1.เอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamics/pitch หรือ พวก Filters & Compressors

เอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamicspitch


เอฟเฟคประเภทนี้จะเป็นการบีบอัดสัญญาณ จัดบาลานซ์ของเสียงกีต้าร์
เน้นไปที่การปรับเปลี่ยนไดนามิก (Dynamics) หรือความดังเบาของเสียง และการปรับเปลี่ยนพิทช์ (Pitch) หรือระดับเสียงสูงต่ำของโน้ต นั่นเอง
เอฟเฟคที่อยู่ในประเภทนี้เช่น Compressor , Clean Boost , Wah Wah , Pitch Shifter , Whammy เป็นต้น

2.เอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion & EQ – เพื่อปรับแต่งเสียงกีตาร์ให้โดดเด่น

เอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion EQ

เอฟเฟคประเภทนี้เป็นเอฟเฟคที่กระทำบางอย่างกับเนื้อเสียงของกีต้าร์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเสียงที่แตกต่างหลากหลาย หรือการเน้นย้ำคาแรคเตอร์เฉพาะตัวของดนตรีที่เล่น
เอฟเฟคที่คุณถามถึงอย่าง Produce Tone, Distortion และ EQ ล้วนเป็นเอฟเฟคที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตดนตรี
โดยเอฟเฟคที่เราคุ้นเคยกันดีก็จะเป็นเอฟเฟค Overdrive , Distortion , Fuzz , EQ เป็นต้น

3.เอฟเฟค Modulation (Mod): สร้างมิติให้เสียงกีตาร์

เอฟเฟค Modulation

เอฟเฟค Modulation หรือ เอฟเฟคมอดูเลชั่น เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยสร้างความหลากหลายให้กับเสียงกีตาร์


ทำให้ได้เสียงที่มีมิติและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เอฟเฟคประเภทนี้จะช่วยให้เสียงกีตาร์ของคุณฟังดูมีชีวิตชีวาและไม่น่าเบื่อ เอฟเฟคประเภทนี้ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น Chorus , Flanger , Phaser , Vibrato

4.เอฟเฟค Time-Based: สร้างมิติให้เสียงกีตาร์ด้วยการเล่นซ้ำ

เอฟเฟค Time Based

เอฟเฟค Time-Based หรือ เอฟเฟคตามเวลา เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ทำงานโดยการบันทึกสัญญาณเสียงชั่วคราว แล้วนำมาเล่นซ้ำออกมาในภายหลัง ทำให้เกิดเสียงสะท้อนหรือเสียงซ้ำตามที่เราตั้งค่าไว้
เอฟเฟคประเภทนี้ที่เรารู้จักกันดีก็จะเป็น Analog Delay , Digital Delay

5.เอฟเฟค Ambience: สร้างบรรยากาศให้เสียงกีตาร์ของคุณ

5.เอฟเฟค Ambience สร้างบรรยากาศให้เสียงกีตาร์ของคุณ

เอฟเฟค Ambience หรือ เอฟเฟคบรรยากาศ เป็นเอฟเฟคกีตาร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับเสียงกีตาร์ของคุณ
เหมือนกับการนำกีตาร์ของคุณไปเล่นในสถานที่ต่างๆ เช่น ห้องโถงขนาดใหญ่ หุบเขา หรือห้องน้ำ ทำให้เสียงกีตาร์ฟังดูมีมิติและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เอฟเฟคประเภทนี้ก็เช่น Reverb , Echo Reverb

ทั้งหมดคือประเภทของเอฟเฟคที่เราอยากจะให้มือใหม่ได้รู้จักกันก่อน ตอนไปจะเข้าเรื่องการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์ไฟฟ้ากัน โดยขอเริ่มต้นตั้งแต่ ตัวกีต้าร์ไฟฟ้า ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงแอมป์

โดย concept ในการต่อ จะเป็น

กีต้าร์ >>Tuner>>Filters & Compressors>>Distortion & EQ>>Mod>>Time-Based>>Ambience>>แอมป์กีต้าร์

ว่าแต่ Tuner คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

ทำไมต้องต่อกีต้าร์เข้ากับ Tuner ก่อนถึงจะไปต่อกับเอฟเฟคกีต้าร์?

ทำไมต้องต่อกีต้าร์เข้ากับ Tuner ก่อนถึงจะไปต่อกับเอฟเฟคกีต้าร์

คำตอบสั้นๆ: เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงที่เข้าไปในเอฟเฟคต่างๆ นั้นถูกต้องและแม่นยำที่สุดครับ
การต่อ Tuner ก่อนต่อเอฟเฟคอื่นๆ เปรียบเสมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเสียงกีตาร์ของคุณครับ ทำให้คุณได้เสียงที่ถูกต้องและมีคุณภาพสูงสุด

ถ้าให้ตอบยาวๆ แบบมีหลักการ เพราะ Tuner หรือเครื่องตั้งสาย จะช่วยให้เราตรวจสอบและปรับแต่งเสียงของสายกีตาร์ให้มีความถี่ที่ถูกต้องตามมาตรฐานดนตรี นี่คือเหตุผลหลักๆ ครับ:

เสียงที่ถูกต้อง: เมื่อสายกีตาร์ถูกตั้งให้ตรงเสียงแล้ว เสียงที่ออกมาจากกีตาร์จะบริสุทธิ์และไพเราะมากขึ้น การใช้เอฟเฟคต่างๆ ต่อไปจะทำให้ได้เสียงที่น่าสนใจและมีมิติมากขึ้น
ป้องกันปัญหาเสียงเพี้ยน: ถ้าสายกีตาร์เพี้ยน แม้จะใส่เอฟเฟคดีแค่ไหน เสียงที่ได้ก็จะไม่เพราะและฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ


ปรับแต่งเสียงได้แม่นยำ: การตั้งสายให้ตรงจะทำให้การปรับแต่งเสียงด้วยเอฟเฟคต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดายและแม่นยำมากขึ้น
ลดปัญหาเสียงรบกวน: ในบางกรณี สายกีตาร์ที่เพี้ยนอาจทำให้เกิดเสียงรบกวนหรือเสียงหอนเมื่อต่อเข้ากับเอฟเฟคได้

นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องต่อ Tuner ก่อน
บางครั้งสิ่งเล็กๆน้อยๆ แบบนี้ที่มือใหม่พลาด จนทำทำให้แอบสงสัยว่าทำไมเสียงที่ได้มันไม่เหมือนเสียงที่เราชอบ

สำหรับ Tuner ที่ได้รับความนิยมก็จะมี 2 รุ่นนี้ครับ

ทำไมต้องต่อกีต้าร์เข้ากับ Tuner ก่อนถึงจะไปต่อกับเอฟเฟคกีต้าร์ 1

เอฟเฟค Boss TU-3

Boss TU 3

จุดเด่น: ทนทาน แม่นยำ มีโหมด Strobe Tune
เหมาะสำหรับ: มืออาชีพ ผู้ที่ต้องการความแม่นยำสูง

สำหรับผู้ที่สนใจ BOSS TU-3 ตัวนี้ ก็สั่งซื้อ และ รับ Promotion ได้ที่ Link นี้เลยครับ

อีกตัวที่น่าสนใจ ก็จะเป็น TC Electronic Polytune 3

TC Electronic Polytune 3

จุดเด่น: ตั้งสายได้พร้อมกัน 3 สาย ฟังก์ชั่นหลากหลาย
เหมาะสำหรับ: มืออาชีพ ผู้ที่ต้องการฟังก์ชั่นพิเศษ

สำหรับผู้ที่สนใจ TC Electronic Polytune 3 ตัวนี้ ก็สั่งซื้อ และ รับ Promotion ได้ที่ Link นี้เลยครับ

ใครอยากดู รีวิว ตัวนี้ก็กดไปที่ Youtube นี้ได้เลยครับ

เมื่อเราต่อ Tuner แล้วต่อไปก็เป็นคิวของ

ชุดเอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamics/pitch หรือ พวก Filters & Compressors

ในชุดนี้เราจะเรียง ลำดับตามนี้ครับ

Wah Wah >> Compressor >> Octave>> Pitch Shifters

การเรียงชุดเอฟเฟคที่มีผลต่อ dynamicspitch

ทำไมต้องเรียงแบบนี้?

คำถามที่น่าสนใจมากครับ แต่อย่างที่บอกครับ การเรียงลำดับเอฟเฟกต์ที่คุณกล่าวถึงเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่นิยมใช้กัน
ซึ่งวิธีนี้เป็นหนึ่งใน Basic เพื่อ ให้ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติและควบคุมได้ง่ายขึ้น

หรือ ถ้าจะเอาให้ละเอียดขึ้น

Wah Wah: เอฟเฟกต์ Wah Wah มักจะถูกวางไว้ต้นๆ ของ Chain เนื่องจากเป็นเอฟเฟกต์ที่เราต้องการควบคุมด้วยเท้า และเราต้องการให้เอฟเฟกต์อื่นๆ ที่ตามมาส่งผลต่อเสียงที่ผ่านการปรับแต่งด้วย Wah Wah แล้ว


Compressor: หลังจาก Wah Wah เราจะนำ Compressor มาบีบอัดสัญญาณเสียงที่ผ่านการปรับแต่งด้วย Wah Wah เพื่อให้ได้ระดับเสียงที่สม่ำเสมอและควบคุมได้ง่ายขึ้น


Octave: เอฟเฟกต์ Octave จะทำหน้าที่สร้างเสียงโอเวอร์โทน ซึ่งควรจะถูกประมวลผลหลังจากที่เสียงได้รับการปรับแต่งด้วย Compressor แล้ว เพื่อให้เสียง Octave มีความนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น


Pitch Shifters: เอฟเฟกต์ Pitch Shifters จะทำการปรับระดับเสียงของโน้ต ซึ่งควรจะถูกประมวลผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนส่งสัญญาณไปยังแอมป์ เพื่อให้ได้เสียงที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติที่สุด

ถ้าจะยกตัวอย่างการต่อของชุดนี้ เช่น

Wah Wah รุ่นที่นิยม Jim Dunlop GCB95F Cry Baby Classic
V
V
Compressor ของ Boss รุ่น CP1X
V
V
Octave ของ Boss รุ่น OC-5 Octave
V
V
Pitch Shifters ของ Boss รุ่น PS-6

เราไปต่อที่ส่วนต่อไปครับ จะเป็นส่วนของ

ชุดเอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion & EQ

เอฟเฟคที่สร้างโทนเสียง Distortion EQ 1

โดยเราจะเรียง ดังนี้ Overdrive >> Distortion

เหตุผลที่นิยมต่อ Overdrive ก่อน Distortion
สร้างเลเยอร์ของเสียงแตก:

Overdrive: มักจะให้เสียงแตกที่อุ่น นุ่มนวล และเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่สร้างพื้นฐานของเสียงแตก
Distortion: จะเพิ่มความแหลม ความคม และความดิบให้กับเสียง ทำหน้าที่เสริมความเข้มข้นให้กับเสียงที่ได้จาก Overdrive
การต่อแบบนี้จะทำให้ได้เสียงแตกที่มีมิติ มีทั้งความนุ่มนวลและความดิบปนกันไป ทำให้สามารถปรับแต่งเสียงได้หลากหลายมากขึ้น
ควบคุมระดับเสียงแตก:

Overdrive จะช่วยให้คุณควบคุมระดับเสียงแตกเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะส่งสัญญาณไปยัง Distortion เพื่อเพิ่มความเข้มข้นอีกชั้นหนึ่ง
ทำให้คุณสามารถปรับแต่งระดับเสียงแตกได้อย่างละเอียดมากขึ้น


สร้างความแตกต่างของโทนเสียง:แต่ละเอฟเฟกต์จะมีลักษณะเสียงที่แตกต่างกัน การต่อซ้อนกันจะช่วยสร้างโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร

ขอยกตัวอย่าง เป็น Boss DS-1 >> Boss SD-1 >> Boss MT-2W ในกรณีนี้

Boss DS-1: ให้เสียงแตกที่คมชัด มีความดิบ เหมาะสำหรับเพลงแนว Punk หรือ Hard Rock
Boss SD-1: ให้เสียงแตกที่อุ่น นุ่มนวล เหมาะสำหรับเพลงแนว Blues หรือ Rock Classic
Boss MT-2W: ให้เสียงแตกที่หนักหน่วง มีความ Modern เหมาะสำหรับเพลงแนว Metal

การต่อแบบนี้จะให้เสียง
มีมิติ: ได้ทั้งความนุ่มนวลของ SD-1 ความคมชัดของ DS-1 และความหนักหน่วงของ MT-2W
ปรับแต่งได้หลากหลาย: สามารถปรับแต่งระดับเสียงแตกของแต่ละเอฟเฟกต์ได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ต้องการ
เหมาะสำหรับเพลงแนวหนัก: เหมาะสำหรับเพลงแนว Metal หรือ Hard Rock ที่ต้องการเสียงแตกที่หนักหน่วง

ชุดต่อไปเป็น เอฟเฟค Modulation (Mod)

เอฟเฟค Modulation 1

ชุดนี้เราจะเรียง แบบนี้ : CHORUS >> PHASER >> FLANGER

การรวมเอฟเฟกต์ทั้งสามเข้าด้วยกันจะทำให้ได้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร และยังเสริมสร้างเอฟเฟกต์แต่ละตัว:
CHORUS: เมื่อผ่าน CHORUS ไปแล้ว เสียงที่เข้าไปใน PHASER จะมีความกว้างและมีมิติมากขึ้น ทำให้เสียง PHASER มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
PHASER: หลังจากผ่าน PHASER เสียงที่เข้าไปใน FLANGER จะมีความแปลกใหม่และมีมิติมากขึ้น ทำให้เสียง FLANGER มีความซับซ้อนมากขึ้น

ขอยกตัวอย่าง เป็น BOSS CH-1 >> Boss PH-3 >> BOSS BF-3 เสียงที่:

มีมิติ: เสียงกีตาร์จะมีความกว้าง มีความลึก และมีความเคลื่อนไหว
มีความแปลกใหม่: เสียงที่ได้จะไม่เหมือนเสียงกีตาร์ทั่วไป
เหมาะสำหรับเพลงแนว Psychedelic หรือ Space Rock: เสียงที่ได้จะเข้ากับแนวเพลงที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและแฟนตาซี

ชุดต่อไปที่จะนำมาต่อ คือ เอฟเฟค Time-Based — LOOPER,Delay

เอฟเฟค Time Based 1

อันนี้เราจะต่อ LOOPER ตามด้วย DELAY และ ขอปิดด้วย Modulation

เช่น BOSS RC-1 >> BOSS DD-3T >> BOSS MD-200

การเรียงแบบนี้ จะช่วยสร้างเสียงที่ซับซ้อน มีมิติ และน่าสนใจยิ่งขึ้น

เหตุผลที่ควรเรียงลำดับแบบนี้:

สร้างพื้นฐานที่แข็งแรง: Looper จะทำหน้าที่สร้างลูปดนตรีเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะกลายเป็นแกนหลักของเสียงดนตรีของคุณ
เพิ่มความลึกให้กับเสียง: Delay จะช่วยสร้างความลึกและความกว้างให้กับเสียงที่ได้จาก Looper ทำให้เสียงมีมิติมากขึ้น
สร้างความเคลื่อนไหวและความแปลกใหม่: เอฟเฟกต์ Modulation จะช่วยเพิ่มความเคลื่อนไหวและความแปลกใหม่ให้กับเสียงที่ผ่าน Delay มาแล้ว ทำให้เสียงมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น

เสียงที่ได้จากการเรียงลำดับแบบนี้:

ลูปกีตาร์: คุณสร้างลูปกีตาร์เบสไลน์ง่ายๆ ด้วย RC-1
เพิ่มความลึก: ใช้ DD-3T สร้างเสียง Delay ที่ซ้ำๆ เพื่อเพิ่มความลึกให้กับลูป
เพิ่มความเคลื่อนไหว: ใช้ MD-200 สร้างเอฟเฟกต์ Chorus เพื่อให้เสียงลูปกีตาร์มีมิติและเคลื่อนไหวมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้: คุณจะได้เสียงลูปกีตาร์ที่ซับซ้อน มีความลึก และมีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับเพลงแนว Ambient, Shoegaze หรือเพลงที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่กว้างใหญ่

ชุดสุดท้าย จะเป็น เอฟเฟค Ambience – องค์ประกอบสุดท้ายของเสียงในโลกแห่งความเป็นจริง

5.เอฟเฟค reverb Ambience สร้างบรรยากาศให้เสียงกีตาร์ของคุณ

ใน case นี้เราจะนำ BOSS RV-6 มาต่อ กับ BOSS RV-500
หลายคนบอกว่า การนำเอฟเฟคทั้งสองตัวนี้มาต่อกัน

มันซ้ำซ้อนหรือไม่

ใช่ครับ อาจดูเหมือนซ้ำซ้อน แต่จริงๆ แล้ว การทำเช่นนี้สามารถสร้างมิติและความซับซ้อนให้กับเสียงได้อย่างน่าสนใจ

เหตุผลที่น่าสนใจในการต่อ RV-6 และ RV-500 พร้อมกัน:

สร้างความลึกและกว้างให้กับเสียง: การใช้ Reverb สองตัวพร้อมกันจะช่วยสร้างความลึกและความกว้างให้กับเสียงได้มากกว่าการใช้ตัวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับค่า Pre-delay, Decay และ Size ให้แตกต่างกัน
สร้างเอฟเฟกต์ที่ซับซ้อน: การผสมผสาน Reverb ที่มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น Reverb แบบห้องเล็กและห้องใหญ่ จะช่วยสร้างเอฟเฟกต์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ


สร้างบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจง: การเลือกใช้ Reverb ที่เหมาะสมกับแนวเพลงและสไตล์การเล่น จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจงได้ เช่น บรรยากาศแบบห้องคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ หรือบรรยากาศแบบโบสถ์เก่า
สร้างเอฟเฟกต์ที่ไม่ซ้ำใคร: การทดลองปรับค่าต่างๆ ของทั้งสองตัว จะช่วยให้คุณสร้างเอฟเฟกต์ Reverb ที่ไม่เหมือนใครและเป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง

มาถึงจุดนี้เราก็นำสายไปต่อเข้ากับ แอมป์กีต้าร์ ได้แล้วครับ

สุดท้ายนี้ ขอสรุปเรื่องการต่อ แอฟเฟคไว้ง่ายๆ ว่า

RULES ARE MEANT TO BE BROKEN กฏมีไว้ให้แหก

เทคนิคและหลักการต่อพ่วงเอฟเฟคกีต้าร์ เอฟเฟคก้อน 3

ทำไมยังงั้นหละ!!!

เพราะตอนนี้คุณรู้กฏพื้นฐาน แล้วว่าทำไมเอฟเฟกต์บางอย่างจึงควรอยู่ก่อนหรือหลังเอฟเฟกต์อื่น
จลใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อหาวิธีการต่อของคุณเอง

บางทีคุณอาจพบว่า บางอย่างมันไม่เหมาะกับคุณเลย

ดังนั้น จงออกไปสนุกกับการเล่นกีต้าร์กันเถอะ

MyGuitarShops.com

เลือกซื้อ กีต้าร์โปร่ง กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า กีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์เบส แบบที่ชอบ ในราคาเบาๆ

ติดต่อเรา
บทความที่คล้ายกัน

MyGuitarShops.com

เลือกซื้อ กีต้าร์โปร่ง กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า กีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์เบส แบบที่ชอบ ในราคาเบาๆ

ติดต่อเรา คลิก
CHANGE LANGUAGE
Powered by
MyGuitarShops.com
เลือกซื้อ กีต้าร์โปร่ง กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า กีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์เบส แบบที่ชอบ ในราคาเบาๆ
พิมพ์ค้นหาสินค้าที่ต้องการ..
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors